Ford v Ferrari (2019) ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์

Ford v Ferrari (2019)
Ford v Ferrari นอกจากแฟรนไชส์หนังรถซิ่งสมัยใหม่อย่าง Fast&Furious แล้ว ในตลาดหนังฮอลีวู้ดอันกว้างใหญ่ก็แทบจะไม่ผลิตหนังเอาใจแฟนภาพยนตร์ที่รักรถซิ่งและความเร็วที่น่าดูกันสักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่หนังจะแป้ก แต่คราวนี้เป็นทีของ Ford v Ferrari ภาพยนตร์การแข่งขันรถในตำนาน เลอ ม็องส์ 24 ที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินและเป็นเกมที่ดิบพอสมควร แถมยังได้ 2 นักแสดงหนุ่มมากฝีมือ ทั้ง แมต เดมอน และคริสเตียน เบล นักแสดงชายผู้ทุ่มเทสุดพลังให้กับหนังทุกเรื่อง ก็พอจะการันตีความสนุกได้ในระดับหนึ่ง Ford v Ferrari หนังรถซิ่งอิงประวัติศาสตร์ในยุค 60 ว่าด้วยการแข่งรถระดับโลกในตำนาน เลอ ม็องส์ 24 เมื่อปี 1966 เมื่อค่ายรถยนต์ใหญ่ในอเมริกาอย่างฟอร์ด ที่ต้องงัดทุกกลเม็ดเพื่อสร้างรถแข่งที่จะสามารถเอาชนะเฟอร์รารี ยานยนต์เจ้ายักษ์ในอิตาลีให้ราบคาบในสนามนี้ให้จงได้ ร้อนถึง เคน ไมล์ส วิศวกรและนักขับรถซิ่งชาวอังกฤษ ต้องร่วมมือกับแคร์โรล เชลบี้ นักออกแบบรถของฟอร์ด ช่วยกันสร้างม้าเหล็ก GT40 Mark II บรรพบุรุษของรถซิ่ง Ford GT ในทุกวันนี้ จากเรื่องจริงของการแข่งขันชิงความเป็นที่หนึ่งระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถยนต์ ฟอร์ด (Ford) และ เฟอร์รารี่ (Ferrari) ในการแข่งขันรถซิ่งระดับโลก เลอม็องส์ (Le Mans) เมื่อปี 1966 เมื่อนักออกแบบรถซิ่ง แคร์โรล เชลบี้ (แมตต์ เดมอน) และนักซิ่งหัวรั้นอย่าง เคน ไมล์ส (คริสเตียน เบล) ที่ต้องร่วมกันฝ่าฟันทั้งการแทรกแซงขององค์กรใหญ่และกฏของฟิสิกส์เพื่อปฏิวัติวงการเจ้าความเร็วกับสนามแข่งสุดหฤโหดอย่าง Le Mans 66 ในด้านตัวละครหลักเอง Ford v Ferrari ก็บอกเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจ หนังเปิดเรื่องที่ คารอล เชลบี ในคืนแข่งรถสนามเลอมังค์ที่ทั้งความเครียดและปัญหาสุขภาพรุมเร้าจนเขากลายเป็นโรคหัวใจ เพื่อสื่อให้เห็นชีวิตของผู้ชายคนนึงที่ทุ่มเทให้ทุกสนามแต่เมื่อชีวิตต้องพาเขาเข้าพิตช์แบบไม่วันลงไปแข่งได้อีก การได้เจอ เคน ไมลส์ นักแข่งอังกฤษที่ทำงานประจำเป็นช่างซ่อมรถฝีปากกล้าก็เหมือนเครื่องจูนกันติด ดังนั้นมิตรภาพของพวกเขาเลยเกิดขึ้นท่ามกลางความร้อนแรงในสนามแข่งขัน และหนังก็ปูให้เราผูกพันกับตัวละครทั้งสองจนทำให้เราอดลุ้นตามไม่ได้ ไม่เพียงฉากแข่งรถเท่านั้น แม้กระทั่งตอนตัวละครต่อปากต่อคำกัน เรายังอดบันเทิงตามไม่ได้ แถมเหตุการณ์ในชีวิตทั้งคู่ยังวนเวียนกับการทะเลาะกับเหล่าผู้บริหาร หรือกระทั่งทะเลาะกันเองจนหนังให้มิติความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ไม่จำเจ